วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดาวให้คุณ ให้โทษ




  

 ดาวจะอยู่ที่ใดแล้วจะดี หรือ ให้โทษ   ขึ้นอยู่กับความสำคัญว่ามันแสดงบทบาทอะไร  อยู่กับใคร  อย่างไร  เมื่อไร  และจะเกิดกับผู้ใด    ซึ่งได้เล่าถึงบทบาทหลายอย่างของดาวมาให้ทราบแล้ว
 

        คนที่ผ่านการพยากรณ์ดวงมากๆ  จะจับทางได้ว่า  ดวงชะตาจริงของคน  ไม่ค่อยสอดคล้องกับตำแหน่งมาตรฐานของดาว  เช่น  ดาวเป็นอุจ  ควรจะดัง   หรือ ได้ดี แต่กลับตกต่ำบ้าง    หรือดาวเป็นเกษตร   เป็นคนจน  ไม่มีจะกินบ้าง    ทั้งนี้เกิดจากการที่เราเข้าใจผิดในตำแหน่งมาตรฐานเหล่านี้     ถ้าเราใช้เหตุผลสักหน่อย    ยกตัวอย่างดาวเดินช้าเช่น  พฤหัส  เสาร์  ราหู  ก็ได้    เมื่อเป็นอุจ  หรือเกษตร  จะอยู่นาน  ถึงหนึ่งปี  หรือหลายปี    ระหว่างนี้มีผู้คนเกิดมากี่พันล้านคน    หากผูกดวงแล้ว ก็ต้องมี  อุจ  เกษตร  เหมือนๆกัน    ชะตาคนทุกคนจะดัง  หรือรวยเหมือนกันไปหมดเป็นไปไม่ได้     สิ่งที่มาขัดให้ชัดขึ้น ก็คือ เวลาเกิดที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดลัคนา และเรือน   รวมทั้งดาวอื่นๆที่ยังโคจรอยู่โดยรอบ    ประกอบเป็นโครงสร้างแบบต่างๆที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

        โครงสร้างของดาวที่เกิดจากมุมดาวต่างๆเหล่านี้  มีความสำคัญมากกว่าตำแหน่งมาตรฐานของดาว   เวลาเราเป็นนักเรียนหัดใหม่ๆ  เรามักเอาดวงชะตามาเทียบกับดาวมาตรฐาน  เพื่อให้รู้ว่าดาวแต่ละดวง  มีมาตรฐานอะไร   แล้วก็ไปเปิดดูหนังสือ ตำราเพื่อหาความหมาย  แล้วก็ออกคำทำนาย    วิธีนั้นเป็นของมือหัดใหม่  ที่มองดาวเพียงดวงเดียว    แต่จริงๆแล้ว  ดาวไม่เคยอยู่ดวงเดียว  และยังไม่เคยมีดาวอะไร เป็นอิสระเลย   ยิ่งรู้ลึกลงไป   เราจะยิ่งพบว่า   แม้แต่ดาวดวงใดที่กำลังทำปฏิกิริยากับ เรือน หรือดาว  คู่ใดคู่หนึ่ง   ดาวดวงอื่นก็ร่วมผสมโรงอยู่ด้วยเสมอ   หากเราอ่านรหัสเหล่านี้ออกได้    เราก็จะได้เป็นรายละเอียดที่สามารถขยายความเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างละเอียดยิบ   บางทีเราอาจจะพออ่านออกได้ว่า  ใครที่พะวงในตำแหน่งดาวมาตรฐานเหล่านี้อยู่   ยังไม่เข้าใจความเป็นจริง  และยังติดอยู่ใน “กับดัก”  ขั้นต้นๆ ของนักโหราศาสตร์อยู่........ในเส้นทางของโหราศาสตร์อันยาวไกลนี้  เราต้องมีสมาธิในการเดินทาง    เพราะมักจะมีมารมาปลูกต้นไม้ดอกไม้  หอมๆ  และสวยงาม  ให้เราแวะหลงใหลอยู่เสมอ    หากเราตัดใจไปไม่ขาด    ในที่สุดก็จะเดินไปไม่ถึงจุดหมาย หลายคนเข้าใจว่า  ใครที่มีดาวมาตรฐาน  เช่น อุจ  เกษตรมากๆ  เป็นดวงที่ดี   และจะมีวาสนาดีนั้น    ควรเข้าใจเสียใหม่ว่า   ธรรมดาธรรมชาตินั้น จะจัดสมดุลของตัวมันเอง  และเข้าสู่สมดุลอยู่เสมอ   ที่โหราศาสตร์แบ่งดาวออกเป็นบาปเคราะห์และศุภเคราะห์ก็เพราะเหตุนี้     บาปเคราะห์และศุภเคราะห์ไม่ได้หมายถึงความเลว  และความดี  แต่หมายถึงความแข็งแกร่งและอ่อนโยน โลกและชีวิตต้องการสองส่วนนี้ผสมกลมกลืนกันดี จึงจะมีกำลังก้าวไปข้างหน้าได้    ร่างกายของคนเราก็มีส่วนที่แข็งแกร่ง  และอ่อนนิ่ม อยู่ทั้งร่างกาย    ลองคิดดูว่าหากมีแข็งอย่างเดียว   หรืออ่อนอย่างเดียวไปทั้งตัว  จะเกิดอะไรขึ้น    อาหารที่เผ็ดอร่อย  ก็ต้องมีรสเค็มหวานกำลังดี   แต่ถ้ามากเกินไป  เค็มจนขม  หวานจนเอียน   อาหารนั้นจะไม่อร่อย    มหาทักษาก็มีการหมุนเวียนของของธาตุศุภเคราะห์  และบาปเคราะห์สลับกัน    ดาวคู่สมพลที่ทำให้มีกำลัง  ก็เกิดจากการจับคู่ศุภเคราะห์และบาปเคราะห์  หากเราจะดูดวงชะตาของคนสำคัญในโลกหลายคน   จะเห็นว่ามีทั้งดาวทั้งบาปเคราะห์  ศุภเคราะห์แสดงผลในดวงชะตา  ต้องต่อสู้ฟันฝ่ากันมาแทบทั้งนั้น   จึงจะเป็นคนรวย  คนดัง  ระดับโลกได้

           ดาวมาตรฐานนั้น   หากยังไม่คิดโครงสร้างของดาวก่อน  การมีดาวเกษตร อุจ มากๆในดวงชะตา  เหมือนกับชีวิตที่อ่อนแอมาก  หรือแข็งมากเกินไป   มองจากสายตาที่เที่ยงตรงแล้วไม่ดี   คนที่มีเกษตรมากไป   อาจทำให้เฉื่อย   ทำหลายอย่าง   แต่ตัดสินใจทำอะไรไม่ได้สักอย่าง   จนไม่อาจประสบความสำเร็จได้   คนที่มีดาวอุจหลายดวงเกินไปก็มักมีอัตตาสูง  นิสัยเสีย เสี่ยง และอาจขาดความรับผิดชอบ  ต่อผู้อื่น  มุ่งหวังความสำเร็จของตนเองอย่างเดียว   ใครจะตายบ้างก็ช่างปะไร   การที่มีดาวอุจซ้อนอุจ  เล็งอุจ   หรือดาวเกษตรเล็งเกษตร   อนุเกษตร   บางครั้งจึงไม่ได้ความว่าชะตาดี    ในทำนองเดียวกัน  พวกดาวนิจประมากมาย  ก็ไม่ได้หมายถึงดี  หรือเลว    หากเอาสิ่งปรากฏในสังคม  อาจจะมียศศักดิ์  ร่ำรวยสุงกว่าพวกอุจเกษตรเสียอีก    แต่อาจต้องต่อสู้ฟันฝ่ามามากหน่อย   และนิสัยใจคอนั้นไม่แน่ว่า  อาจเป็นคนขี้ขลาด  ขี้โกง  หรือกล้าหาญ  อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้   คนที่มีความเสียสละจำนวนมากมักจะมีดาวนิจ ประในดวงชะตาเสมอ    คนที่มีดาวดึงดูดทางเพศหลายๆดวงก็เช่นกัน    หากมีพอสมควร   ทำมุมดี   ก็ดึงดูดเพศตรงข้ามได้    แต่หากมีมากไป  อาจเป็นคนลักเพศ    กลับเป็นเพศตรงข้ามไปเสียเอง   หรือกลายเป็นคนวิตถารทางเพศไป    นี่เป็นเหตุให้เราต้องหันไปพิจารณาโครงสร้างของดาว  และเรือน โดยลัคนา  เป็นหลักทุกครั้ง    ไม่ใช่เปิดดูตรงกับตำแหน่งดาวสถิตแล้วทายเลย
           ในหนังสือหรือตำราต่างๆมักจะมีรูปแบบดาวพิเศษมากมาย   ตั้งชื่อกันแปลกๆ   บางตำแหน่งอาจเป็นเพียงมติของอาจารย์บางท่าน  บางสมัย   หรือเป็นบันทึกเตือนความจำเท่านั้น    นักเรียนบางคนก็รวบรวมเอาไว้มาก   เพราะคิดว่าเป็นไม้เด็ดเคล็ดลับ   ทั้งๆที่ไม่รู้วิธีใช้  สังเกตว่าดาวบางดวง   หากรวบรวมมาแล้วอาจมีตำแหน่งมาตรฐานดีครบ 12 ราศี   อันที่จริงดาวเหล่านี้มีเงื่อนไขในการอยู่ในตำแหน่งนั้น อาจต้องรอดาวจรบางดาว หรือ มีดาวอื่นๆประกอบ   และเงื่อนไขอื่นๆอีกมากในการพิจารณาดาว  ไม่ใช่การดูอย่างสำเร็จรูปดวงเดียว  แล้วใช้ได้เลย     ซึ่งถ้าหากเรารู้หลักในการดูดาวจร  ดาวเดิม  หรือโครงสร้างดาว  ตลอดจนธาตุราศีแล้ว      ตำแหน่งมาตรฐานของดาวเหล่านี้  ก็ไม่จำเป็นเลย       เราเองก็อาจสร้างรูปแบบดาวมาตรฐานเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง     ดาวตำแหน่งพิเศษเหล่านี้ก็เหมือน  หนังสือเก็งข้อสอบ  ของเด็กๆ  ที่เพียงท่องจำคำตอบตามรูปแบบ  เพื่อจะเอาคะแนนเท่านั้น    แทนที่จะทำความเข้าใจในเหตุผลที่มา     ดังนั้นเพียงโจทย์ดัดแปลงเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย  ก็สอบตกแล้ว

  *บทความนี้ไม่ได้เขียนโดยหมอจุ๊บ เป็นบทความที่คัดลอกมาไว้ในบล็อกเพื่ออ่านในช่วงเรียนรู้โหราศาสตร์เพิ่มเติม ที่มาตอนนี้ยังค้นไม่เจอขออภัยเจ้าของบทความด้วยครับที่ตอนแรกไม่ได้ให้เครดิต