วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จิตสัมผัส



                 เรื่องของจิตสัมผัสหรือสัมผัสที่6 ถามว่ามีจริงไหม ตอบได้ยากเพราะเป็นปัจจัจตังหรือรับรู้ได้เฉพาะบุคคลเป็นสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับความเชื่อ คนส่วนใหญ่มองว่าหมอดูจิตสัมผัสหรือการดูดวงจิตสัมผัสนั้นเป็นการตลาด ในมุมของผมคือถูกแต่ไม่ถูกทั้งหมด คนที่ใช้คำนี้ในการสร้างความน่าสนใจโดยที่ไม่ได้ใช้พลังแบบนั้นจริงๆ นั้นมีให้เห็นอยู่  แต่อีกส่วนนึงนั้นก็มีที่สามารถใช้จิตสัมผัสในการทำนายได้อย่างแม่นยำ  ซึ่งเรื่องพวกนี้มีอยู่จริง ๆ และสามารถฝึกฝนได้ จิตสัมผัสคือญาณหยั่งรู้ หรือเปรียบเสมือนสัญชาตญาณของพวกสัตว์นั่นเองครับ เราจะเห็นได้ว่าพวกสัตว์สามารถรู้ถึงภัยที่จะเกิดได้อย่างไม่น่าเชื่อ สามารถเอาตัวรอดและมีแนวทางการดำเนินชีวิตที่เหมือน ๆ สัตว์ในสปีชีส์เดียวกันโดยไม่ต้องสอน เราเรียกความสามารถนั้นว่าสัญชาตญาณ แต่กับมนุษย์ซึ่งมีการถ่ายทอดผ่านภาษาและการเรียนรู้ ยังหาทางสรุปไม่ได้ว่ามนุษย์นั้นมีสัญชาตญาณรึเปล่า โดยมีนักคิดและนักวิทยาศาสตร์ต่างให้เหตุผลที่แตกต่างกันออกไป  เรื่องเหล่านี้เหมือนเส้นผมบังภูเขา ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งพยายามไขว่คว้ายิ่งไม่เจอ ถ้าเราลองหยุดและตั้งคำถามว่าทำไมสัตว์เหล่านั้นถึงมีสัญชาตญาณ หรือสามารถรู้ได้ก่อน ก็ต้องมองไปที่ความต่างว่า สัตว์ต่างจากเราอย่างไร สัตว์นั้นมีสมองที่ไม่ซับซ้อน ต่างจากมนุษย์ที่มีขนาดสมองที่ใหญ่มีกระบวนการคิดที่ซับซ้อนกว่า มองในมุมนี้ก็จะสามารถทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมมนุษย์ถึงไม่มีสัญชาตญาณ แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นก็มีสัญชาตญาณไม่ต่างจากสัตว์ แต่ความสามารถนั้นถูกซ่อนไว้โดยกระบวนการคิด ยิ่งใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งกลบความสามารถนั้นลง มาถึงตรงนี้เลยโยงมาที่การทำสมาธิ หรือในภาษาอังกฤษที่เค้าเรียก  meditation ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วโลกว่าสามารถทำให้จิตใจปลอดโปร่งและแก้ปัญหาได้ดีขึ้น  การทำสมาธิถ้าเรามองง่ายๆ โดยไม่ต้องมองลึกไปถึงกรรมฐานก็คือการหยุดคิด และหันมาจดจ่อกับอะไรสักอย่างชั่วขณะ ผลคือทำให้เราสามารถเข้าใจอะไรได้กระจ่างมากขึ้น ถามว่าทำไม ก็เพราะช่วงที่เราทำสมาธินั้นเราไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่มีการใช้เหตุผล หรือตรรกะใด ๆ เราจะพบว่าเหมือนมีความคิดที่ลงตัวและพบคำตอบในเรื่องต่างๆได้เองหลังจากทำสมาธิ นั่นเป็นเพราะช่วงที่เราทำสมาธินั้นเราหยุดกระบวนการคิดของสมองลงทำให้ส่วนของสัญชาตญาณหยั่งรู้หรือในที่ผมจะกล่าวถึงคือจิตสัมผัสนั้นเปิด ฟังดูเหมือนง่ายแต่ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เพราะคนเราในแต่ละวันเจอเรื่องราว เจอผู้คนมากมายมีการทำงานพบปะเจรจามีการใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลาทำให้ความสามารถในการใช้จิตหรือจิตที่จะสัมผัสนั้นน้อยลง พอมานั่งฝึกสมาธินั้นแน่นอนว่าจะเข้าถึงสมาธิจริงๆนั้นย่อมยาก ดังคำพระท่านหนึ่งที่บอกว่าจิตเรานั้นเหมือนลิง จะทำให้หยุดนิ่งจดจ่อกับอะไรสักอย่างนั้นมันยาก หลับไปเลยซะยังจะง่ายกว่า การฝึกสมาธิจึงต้องใช้เวลาในการฝึกฝน เหมือนการค่อยๆ ขัดคราบเปื้อนหนาที่เกาะติดอยู่นานนับสิปปีบนกระจกออก  บางคนดีหน่อยฝึกแป้บเดียวก็สามารถสงบเข้าถึงฌานมีจิตที่จดจ่อได้ แต่บางคนฝึกฝนกันนานนับปี ยังเหมือนไม่มีวี่แววจะสงบลงได้ ยังคงฟุ้งซ่าน วอกแวกหรือไม่ฟุ่งซ่านแต่ก็ตั้งใจใช้ความพยายามมากเกินไป ก็ไม่มีประโยชน์ การฝึกจิตควรใช้ทางสายกลางดังที่พระพุทธเจ้านั้นสอนมา คือไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไป ฝึกด้วยความสบายจนสามารถเข้าถึงระดับฌาน ก็จะรับรู้ถึงพลังความสามารถแห่งจิต สามารถเปิดพลังของจิตสัมผัสที่ซ่อนอยู่นานซึ่งจะตอบทุกคำถามที่อยากรู้และแก้ทุกปัญหาที่เจอได้อย่างชาญฉลาดน่าทึ่งทีเดียวครับ ในบทความหน้าจะกล่าวถึงเรื่องของการใช้จิตสัมผัส การดูดวงด้วยจิตสัมผัส และสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อใช้จิตสัมผัสในการดูดวงครับ